วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558

คิดให้ดีก่อนซื้อรถ

"คิดให้ดีก่อนซื้อรถ" ทุกวันนี้รถยนต์ถือสิ่งจำเป็นในชีวิต มันช่วยพาเราไปไหนต่อไหนได้สะดวก ถึงแม้ว่าประเทศไทยรถจะโครตติดก็ตามที แต่ในมุมุมองของคนมีรถหรือต้องการใช้รถนั้น การติดอยู่ในรถตัวเองได้นั่งรับแอร์เย็นๆ ก็ยังสบายกว่าไปติดบนรถเมล์ตั้งเยอะ นี่จึงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่คนเราต้องการที่จะมีรถเอาไว้ใช้สักคันเพื่อเพิ่ม "ความสุข" ในกับตนเอง

แต่เดี๋ยวก่อน......หลายๆ คนเมื่อซื้อไปแล้วกลับ "ทุกข์หนัก" กว่าเดิมมาก เพราะเค้าเหล่านั้นไม่ได้หาข้อมูลและวิเคราะห์ผลดีผลเสียเพียงพอ ทำให้สุดท้ายนอกจากจะเสียรถยนต์คันแรกไปแล้ว ยังต้องขาดทุนอีกหลายแสนบาท

เอาล่ะจะแนะนำ 3 ข้อ ที่จะบอกว่าคุณควรจะซื้อรถหรือไม่

1. จำเป็นต้องใช้หรือไม่
ข้อนี้คือข้อแรกที่ควรจะคิดก่อน ความจำเป็นต้องใช้รถของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนจำเป็นเพราะต้องเดินทางต่างจังหวัดบ่อยมีรถจะสะดวกและประหยัดกว่า บางคนต้องซื้อเพราะมีภาระต้องรับส่งลูกเมีย บางคนต้องซื้อเพราะต้องการขับไปทำงาน ฯลฯ ฉะนั้นคิดให้ดีกว่าเราจำเป็นต้องใช้รถจริงๆ ใช่หรือไม่
* หากคุณจะซื้อรถเพราะอยากให้ตัวเองดูดีขึ้น ดูรวย ดูมีฐานะ หรืออแค่อยากมีเหมือนเพื่อนๆ หากเราไม่มีคนเดียวดูกระจอก ถ้าคิดแบบนี้ให้รีบคิดใหม่ครับ

2. ลักษณะรถที่ต้องใช้
หากผ่านข้อแรกมาแล้ว "สรุปว่าคุณมีความจำเป็นต้องใช้รถแล้ว" ให้มาเริ่มดูลักษณะรถที่จะตอบสนองการใช้งานของเราได้ เช่น หากต้องเดินทางต่างจังหวัดบ่อยๆ และมีคนโดยสารประมาณ 5-6 คน ขึ้นไป แบบนี้ตัดพวกรถ Eco car, City car ออกได้เลย แต่หากความต้องการคือขับไปทำงานคนเดียวเป็นหลักแบบนี้ให้มองรถเล็กได้เลย หากขับบนพื้นที่ป่าเขาถนนไม่ดีรถที่เหมาะสมก็อาจจะเป็นรถกระบะที่มีท้องรถสูงๆ หน่อย ฯลฯ
* แต่หากคุณไม่มองประเด็นเรื่องความคุ้มค้าเพราะบ้านรวยมากอยู่แล้ว คุณจะซื้อรถเมล์เล็กมาขับไปทำงานก็ตามใจคุณนะ ตามสะดวก 555

3. ภาระค่าใช้จ่าย
ข้อนี้เฮียหมูจะบอกแค่ว่าการซื้อรถสักคันไม่ใช่แค่มีเงินซื้อรถแล้วจบมันยังมีภาระอย่างอื่นที่ต้องนำมาคำนวนด้วย เอาล่ะมีดูเป็นประเด็นๆ ไปจะได้ไม่งง
- ภาระค่าผ่อนรถ ส่วนนี้ขึ้นอยู่กับราคารถและการวางเงินดาวน์ของคุณเอง (คำนวนเอาเองนะ)
- ภาระภาษีต่อปี ส่วนนี้จะคิดตามความจุกระบอกสูบของรถ มีตั้งหลักพันต้นๆ ขึ้นไป
- ภาะประกันรถยนต์ ส่วนนี้หากเป็นประกันชั้นหนึ่งก็ต้องมีหมื่นต้นๆ ขึ้นไป
- ภาระค่าน้ำมันที่คุณต้องเดินทางในแต่ละวัน
- ภาระค่าบำรุงรักษา โดนแน่ๆ ก็พวกเปลี่ยนถ่ายของเหลวต่างๆ ตามระยะที่กำหนด
- ภาระค่าที่จอดรถ ถ้าคุณต้องเช่าที่จอดรถคุณก็จะมีภาระส่วนนี้เพิ่มเข้าไปอีก
* จากนั้นให้นำค่าใช้จ่ายทั้งหมดมารวมเป็นค่าใช้จ่ายรายปีและลองหักลบกับรายได้ของเราดูนะว่าไหวไหม ถ้าไม่ไหวอย่าฝืนล่ะ ^^

ท้ายสุดแล้วคงไม่มีใครบอกแทนคุณได้ "ว่าคุณควรจะมีรถแล้วหรือยังยกเว้นตัวคุณเอง" ประเด็นก็คืออยากแนะนำให้หาข้อมูลให้รอบด้านก่อนคิดจะซื้อรถ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง ^^

เกล็ดความรู้
"หน้าปัดรถยนต์" บอกอะไรบ้าง เนื้อหานี้คงจะเป็นเนื้อหาที่น่าสนใจสำหรับมือใหม่...........เพื่อนๆ ที่เป็นมือเก่าข้ามไปเลยก็ได้ จะได้ไม่เสียเวลาเพราะมันเป็นความรู้พื้นฐานจริงๆ หรือจะทบทวนความรู้ก็ได้ไม่ว่ากัน 555

"หน้าปัดรถยนต์" บอกอะไรบ้างจัดไป (มือเก่าข้ามไปเลยนะเตือนอีกที)
อย่างแรก "ช่องอุณภูมิน้ำ" ช่องซ้ายสุดของภาพจะเป็นเกจบอกอุณภูมิของน้ำ ค่าที่เหมาะสมคือระดับตรงกลาง (ในบ้างรุ่นอาจะค่อนไปทางขวา สำคัญคือจำให้ได้ว่าค่าปกติของรถเราเข็มชี้ตรงไหน จำตรงนั้นเอาไว้!) และหากเมื่อใดก็ตามที่อุณภูมิน้ำสูงกว่าระดับปกติ แสดงว่าระบบน้ำหล่อเย็นในระบบมีปัญหา หม้อน้ำอาจจะรัว หรือหมอน้ำอาจจะตัน หรือ ท่อทางเดินน้ำอาจจะแตก แนะนำให้หาที่จอดรถข้างทางทันที หากฝืนวิ่งต่อไปเครื่องยนต์อาจจะพังคาตีนได้เลย

ช่องที่สอง "ความเร็วของรถยนต์" ช่องนี้คงจะไม่ต้องอธิบายขยายความอะไรให้มากมายมันคือความเร็วของรถนั่นล่ะ ยิ่งมากยิ่งเร็วมากความเร็วเหมาะสมในการเดินทางต่างจังหวัดควรจะอยู่ที่ระดับ 90-110 กม./ชม. เร็วกว่านี้หากเกิดเหตุฉุกเฉินจะคุมรถได้ยาก

ช่องที่ 3 "รอบเครื่องยนต์" ช่องนี้คือตัวที่จะบอกว่าขณะนี้เครื่องยนต์ทำงานอยู่ที่กี่รอบต่อนาที ตัวเลขบนหน้าปัดให้นำไปคูณด้วยหนึ่งพัน เช่น เลข 1 จะหมายถึง 1,000 ต่อนาที เลข 4 คือ 4,000 รอบต่อนาที ประโยชน์ของมันคือจะช่วยให้ผู้ขับสามารถรู้และเปลี่ยนเกียร์ให้เหมาะสมกับกำลังของเครื่องยนต์นั้นๆ ได้ง่ายขึ้น เช่น เครื่องยนต์ตัวไหนมีแรงบิดที่ดีในรอบ 3,000 – 4,000 รอบต่อนาที หากเราต้องการกำลังสูงสุดก็ให้ใช้รอบตามนั้นโดยดูที่หน้าปัดรถช่วยได้ (สำหรับเกียร์อ้อโต้เรื่องนี้ระบบจะจัดการให้ทั้งหมด อ่านเอาไว้เป็นองค์ความรู้แล้วกันนะ)

ช่องขวาสุด "ระดับน้ำมัน" ช่องนี้คงไม่ต้องอธิบายอะไร เฮียเชื่อว่าทุกคนรู้เตรียมเงินเติมน้ำมันไว้ละกัน555+

ต่อๆ.....เชื่อเหลือเกินว่ามีคนใช้รถจำนวนมาก "ไม่อ่านคู่มือใช้รถ" ทำให้อาจจะขาดความรู้สำคัญบางอย่างไป และเมื่อเกิดเหตุก็ต้องจ่าย "ค่าความรู้ราคาแพง" เพราะเครื่องยนต์อาจจะ "พังคาตีน" ไปแล้ว เอาล่ะเรามารู้ 4 ไฟแจ้งเตือนที่สำคัญมากๆ รู้เอาไว้ดีกว่าเชื่อเฮีย

Check Engine
ไอคอนที่แสดงส่วนใหญ่จะเป็นรูป "เครื่องยนต์" หากขับๆ อยู่เกิดไฟ "Check Engine" แสดงขึ้นมาแสดงว่าระบบของเครื่องยนต์มีปัญหา ในรถรุ่นใหม่ๆ ระบบจะเข้าสู้ Save mode โดยเครื่องยนต์จะวิ่งได้ที่รอบต่ำหรือหากเป็นเกียร์ออโต้ก็อาจจะล็อคให้ใช้งานเพียงแค่เกียร์ 2 เท่านั้น โดยเราควรจะขับรถไปให้ช่างตรวจสอบหาสาเหตุของปัญหาต่อไป โดยทางศูนย์จะมีอุปกรณ์ต่อพวงสำหรับเช็ค Error Code ที่เกิดขึ้น ทำให้รู้ได้ทันทีว่าเครื่องยนต์ผิดปกติในจุดไหน
 
ไฟเตือนรูปแบตเตอรี่
ไออคนจะเป็นรูป "แบตเตอรี่" โดยมันจะแสดงผลเมื่อแบตเตอร์รี่มีปัญหาการทำงาน เช่น แบตฯ ไม่สามารถเก็บไฟได้เหมือนเดิม, ไดชาร์จไม่สามารถประจุไฟได้, สายพานไดชาร์จย่อยทำให้ไดชาร์จทำงานไม่เต็มที่ แต่รวมๆ แล้วจะเกี่ยวข้องกับ แบตและไดชาร์จเป็นหลัก แนะนำให้รีบแก้ไขก่อนที่แบตจะหมด และต้องมาเข็นกันขาลากนะ
 
ABS
ไอคอนจะเป็นรูป "ABS" ระหว่างการใช้งานหากมีไฟ ABS ขึ้นโชว์ขึ้นมาแสดงว่าระบบ ABS มีปัญหาเข้าแล้ว ให้รีบนำรถเข้าตรวจสอบโดยด่วนเนื่องจากระบบ ABS เกี่ยวข้องกับระบบเบรค ซึ่งหากรถเราเกิดเบรคไม่ได้ขึ้นมาอะไรจะเกิดขึ้นคิดกันเอาเองนะ

ไฟเตือนรูปกาน้ำมันเครื่อง
ไอคอนจะเป็นรูป "กาน้ำมันเครื่อง" เมื่อใช้งานและมีไฟเตือนนี้ขึ้นแสดงว่าระบบน้ำมันเครื่องมีปัญหาเข้าแล้ว โดยอาจจะเป็นไปได้ทั้งปั้มน้ำมันเครื่องชำรุดหรืออาจจะเป็นระดับน้ำมันเครื่องที่น้อยเกินไปก็ได้ แนะนำให้จอดรถและดับเครื่องยนต์ทันที แล้วลองตรวจสอบให้เบื้องต้นดูก่อนว่ามีรอยรัวซึมตรงไหนบ้างหรือไม่ จากนั้นรอประมาณ 20 นาที ให้เครื่องยนต์เย็นลงแล้วค่อยเช็คระดับน้ำมันเครื่อง และหากพบว่าน้ำมันเครื่องพร่องมากควรจะเรียกรถมาลากเข้าศูนย์ครับ (ฝืนขับไปอาจจะพังได้)