วันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รอบรู้ ระบบเบรค

รอบรู้ "ระบบเบรค" ว่ากันด้วยเรื่องของ เบรค หรือระบบห้ามล้อนั้นมันมีมากมายหลายรูปแบบ แต่เอาเรื่องของบรรดาสิงห์สนามหรือบรรดาผู้ที่ชื่นชอบความเร็วรักการตกแต่งนิยมใช้ในปัจจุบันเห็นจะเป็นเจ้าดิสเบรค (Disk brake) นั่นเอง แต่ไม่ว่าจะเบรคประเภทไหนก็แล้วแต่ ย่อมจะมีปัจจัยในเรื่องของประสิทธิภาพทั้งนั้น

ประสิทธิภาพของ เบรค ว่าจะอยู่ดีขนาดไหน นอกจากปัจจัยที่เป็นวัสดุแล้วสิ่งต่างๆที่จะยกทัพตามมาและเป็นผลต่อเนื่องไปสู่ประสิทธิภาพ เบรค ไม่ได้มีเพียงอย่างเดียว เริ่มกันตั้งแต่อากาศซึ่งก็มักจะเกี่ยวข้องกับบรรดาอุณหภูมิอยู่แล้ว ไม่ว่าจะยังไงก็ตามมันยังจะต่อเนื่องมาถึงเรื่องของแรงดันอีกด้วย และสิ่งเหล่านี้มักจะมีผลในส่วนของระบบน้ำมัน ซึ่งไหนๆ กล่าวมาถึงระบบของน้ำมันแล้วก็มาดูในเรื่องนี้กันก่อน

เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าบรรดาน้ำมันเบรคจะต้องเป็นน้ำมันที่มีจุดเดือดสูง เพราะต้องผจญกับความร้อนอยู่ตลอดเวลาของการทำงานหรือการแข่งขัน การทำงานแต่ละครั้งของเบรคจะทำให้เกิดความร้อนความร้อนเหล่านี้จะแผ่กระจายเข้าสู่ส่วนต่างๆ ในระบบเบรคอย่างทั่วถึง รวมทั้งสิ่งที่อยู่รอบๆเช่น หน้าแปลนของล้อที่ติดกับจานเบรคก็จะรับความร้อนนนี้ไปด้วยเต็มๆ และส่งผลไปถึงยางด้วย หากใช้วัสดุที่คลายความร้อนได้เร็วก็จะลดอุณหภูมิลงได้

แต่ถ้าไม่ได้ใช้ ความร้อนสะสมจากการเบรคแต่ละครั้งก็จะมีเยอะขึ้นแน่นอนว่าน้ำมันที่อยู่ในระบบก็จะต้องเจอกับความร้อนมันส่งผลมาถึงแรงดันโดยตรงเนื่องจากเมื่อวัตถุที่ได้รับความ ไม่ว่าจะของเหลวหรือของแข็ง ก็มีโอกาสที่จะขยายตัวได้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างซึ่งบรรดาน้ำมันก็มีโอกาสที่จะขยายตัวได้เช่นกัน เนื่องจากหากมีอากาศเกิดขึ้นภายในไม่ว่าจะจากการเดือดของน้ำมันหรือที่เจือปนอยู่จำนวนมากหรือที่ไล่ลมในระบน้ำมันเบรคไม่หมด อากาศจะขยายตัวได้ง่ายและยอมให้ถูกบีบอัดได้เช่นกัน ทำให้เป็นผลต่อการกดแป้นเหยีบในทันที โดยอุณหภูมิการทำงานของจานเบรคเมื่อกดแป้นเบรคลงไปแล้ว แรงดันที่ส่งไปยังลูกสูบเบรคที่คาลิเปอร์จะลดลงในทันที เนื่องจากอากาศภายในระบบยอมให้ถูกบีบอัดลงได้ หรือหดตัวนั่นเอง

มาถึงเรื่องของอุณหภูมิภายนอกระบบน้ำมันกันบ้าง คุณภาพของวัสดุจะมีผลต่อการทำงานโดยตรงซึ่งผ้าเบรคแต่ละชนิดแต่ละเกรดจะมีช่วงของอุณหภูมิการทำงานที่แตกต่างกันออกไป บางชนิดจำเป็นต้องใช้ อุณหภูมิสะสมในระดับหนึ่งก่อนจึงจะให้ประสิทธิภาพเบรคได้สูงสุดและไม่เกินระดับที่รับได้เช่น ประสิทธิภาพของเบรครุ่น A สามารถใช้กับความร้อนและทนกับความร้อนได้ถึง 1,000 องศา แต่ผ้าเบรครุ่น B สามารถทนความร้อนได้ 800 องศา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่ารุ่น Aที่ทนความร้อนได้ดีกว่านั้นจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าเสมอไป เพียงแต่มันสามารถทนความร้อนได้มากกว่าแต่ "ประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด" ของตัวผ้าเบรคอาจจะอยุ่ที่ 500-800 องศา เกินจาก 800 ไปอาการหรือประสิทธิภาพเริ่มลดลงและเมื่อเกิน 1,000 ก็จะหมดประสิทธิภาพ แล้วก่อน 500ล่ะแน่นอนว่าทำงานได้แต่ไม่เต็มประสิทธิภาพเช่นกัน

ในรุ่น B ก็เหมือนกันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำงานได้ดีตั้งแต่เริ่มออกรถไปจนถึงอุณหภูมิ 800 ช่วงการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดอาจะอยู่ที่ 300-600 ก็เป็นได้ขึ้นอยู่กับสเป็คที่ทางโรงงานผู้ผลิตได้กำหนดมา

อุณหภูมิการทำงานของผ้าเบรคจะต้องสัมพันธ์กับส่วนอื่นด้วย นั่นคือจานเบรค เพราะการทำหน้าที่ร่วมกันนั้น 2อย่างนี้จะเกิดความร้อนขึ้นและจานเบรคก็จะเป็นตัวที่ช่วยทำหน้าที่ในการระบายความร้อน
เนื่องจากตัวมันที่ทำหน้าที่ระบายความร้อนแล้วยังเป็นหนึ่งตัวการที่จะเป็นตัวกำหนดอุณหภูมิ เพราะตัวจานเบรคจะเป็นตัวที่สะสมความร้อนเอาไว้หากจานเบรคที่ไม่มีรูระบายไม่มีร่องกลางและมีความหนาพอสมควร แน่นอนว่าจะทำให้เกิดการอมความร้อนเพราะไม่มีพื้นที่หน้าสัมผัสให้อากาศไหลผ่านไประบายความร้อนออกไป แล้วมันจะดียังไงมีแต่สะสมความร้อนไม่ให้ระบายออกไป อย่าลืมว่าผ้าเบรคบางชนิดจะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในอุณหภูมิที่มันต้องการ

การแข่งขันบางประเภทอาจทำให้ยากแก่การระบายความร้อนทำให้เบรคไหม้หรือโอเวอร์ฮีท เราจึงต้องเลือกใช้จานเบรคที่ทำจากวัสดุที่ระบายความร้อนได้ดีน้ำหนักเบาเพราะรถมีความเร็วสูง ยางและพื้นถนนมีแรงเสียดทานค่อนข้างเยอะ ทำให้ภาระตกมาอยู่ในระบบเบรคค่อนข้างมากและเกิดความร้อนแต่การแข่งขันบางรายการอาจต้องการความร้อนสะสมในระบบเบรค เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการเบรคเช่น การแข่งขันแรลลี่ในสนามที่มีภูมิประเทศหนาวเย็น แข่งกันบนทางหิมะหรือพื้นน้ำแข็ง ซึ่งแรงเสียดทานระหว่างยางกับผิวถนนมีน้อยทำให้เกิดความร้อนในระบบเบรคไม่มาก อีกทั้งยังอยู่ในพื้นที่ๆ มีอากาศเย็นความร้อนสะสมในระบบเบรคจึงมีน้อยจำเป็นต้องเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมเพื่อให้ระบบเบรคมีอุณหภูมิการทำงานที่ดีตามรูปแบบของการแข่งขัน

ผ้าเบรคแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม
1. กลุ่มผ้าเบรคที่ผสมสาร Asbestos โดยผ้าเบรคชนิดนี้จะมีราคาถูกและมีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ ผ้าเบรคชนิดนี้จะใช้ได้ดีในความเร็วต่ำ และประสิทธิภาพลดลงมาใช้เบรคที่ความเร็วสูงๆ อีกทั้งเนื้อผ้าเบรคจะหมดเร็ว

2. กลุ่มผ้าเบรคที่ไม่มีส่วนผสมของสาร Asbestos หรือกลุ่ม Non-organic แบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดย่อย คือ
2.1 ชนิดที่มีส่วนผสมของโลหะ (Semi-metallic) จะเป็นผ้าเบรคที่นิยมผลิตในประเทศอเมริกาและประเทศแทบยุโรป
2.2 ชนิดที่มีส่วนผสมของสารอนินทรีย์อื่นๆ จะเป็นผ้าเบรคที่นิยมผลิตในประเทศญี่ปุ่น
โดยทั้ง 2 ชนิดนี้จัดเป็นผ้าเบรคเกรดใกล้เคียงกัน

คณสมบัติของผ้าเบรค
สัมประสิทธิ์ของความฝืด ผ้าเบรคที่มีความฝืดสูงจะมีผลทำให้เบรคได้ดีกว่า ซึ่งสามารถทำให้กลไกระบบเบรคเล็กลงและต้องการแรงเหยียบที่น้อยกว่า ผ้าเบรคที่มีความฝืดต่ำๆ
ความทนทานต่อการใช้งาน การสึกหรอของผ้าเบรคนั้นเป็นไปตามความเร็วของรถยนต์และสภาพการใช้งาน รวมถึงอุณหภูมิเบรคอย่างไรก็ตาม ผ้าเบรคที่ทนทานต่อการสึกหรอได้ดีจะเป็นเหตุให้จานเบรคเกิดสึกหรือเกิดรอยได้ง่าย

การชดเชย เมื่ออุณหภูมิของผ้าเบรคเพิ่มขึ้น เนื่องจากความฝืดทำให้เกิดความร้อนสะสม สัมประสิทธิ์ทางความฝืดลดลง และผลในการเบรคลดลง เป็นเห็นในการเบรคมีความไม่แน่นอน สิ่งนี้เป็นที่ทาบกันก็คือรถยนต์จะเบรคไม่อยู่ เมื่อเบรคร้อนเกินไป ผ้าเบรคจะต้องเย็นลงก่อนถึงจะสามารถเบรคได้ดีเช่นเดิม เรียกว่า การชดเชยผ้าเบรคที่มีการเปลี่ยนสัมประสิทธิ์ไปตามอุณหภูมิ

ควรเปลี่ยนผ้าเบรคเมื่อไหร่
โดยทั่วไปจะมีกำหนดระยะเวลาการตรวจสอบผ้าเบรคกันทุกๆ 3 เดือน หรือประมาณ 5,000 กม. ส่วนอายุของผ้าเบรคนั้นคงสรุปได้ยากเนื่องจากมีปัจจัยหลายๆ อย่างประกอบกัน เช่น คุณสม่บัติของผ้าเบรคเอง วิธีการขับรถของผู้ขับขี่ สภาพการใช้งาน น้ำหนักรถ และเพื่อความคล่องตัวสะดวกสบายของเจ้าของรถยนต์ รถยนต์รุ่นใหม่ๆ จึงมันจะมีระบบเตือนเบรคมาให้อยู่ที่หน้าปัดเลย เมื่อไฟเตือนนี้ขึ้นแสดงว่าระบบเบรคมีปัญหา อาจจะเป็นได้ทั้งน้ำมันเบรคที่ไม่อยู่ในระดับปกติ จนถึงผ้าเบรคควรถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว
ในบางกรณีที่เจ้าของรถไม่ตรวจสอบระบบเบรคเป็นประจำก็สามารถสังเกตุด้วยเสียงของการเบรคได้ เช่น เสียงที่เกิดจากเหล็กยืดติดกับแผ่นดิสเบรคขูดไปบนจานเบรค อันนี้จะเป็นการเตือนชัดๆ ตรงๆ เลยว่าผ้าเบรคของคุณหมดแล้ว ช่วยรีบน้ำรถไปเปลี่ยนผ้าเบรคที หากไม่รีบแก้ไขนอกจากจะเปลี่ยนผ้าเบรคแล้วอาจจะต้องเปลี่ยนจานเบรคเพิ่มเติมด้วยก็เป็นได้

ชนิดของผ้าเบรคที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มดังนี้
1. NAO (NON ASBESTOS ORGANIC) กลุ่มนี้จะใช้วัตถุดิบที่เป็นใยโลหะสังเคราะห์ มีน้ำหนักเบา เพื่อทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน ลักษณะเด่นของกลุ่มนี้คือ น้ำหนักเบา ง่ายต่อการความคุมไม่ให้เกิดฝุ่นและเสียง และมีแรงเสียดทานสูง แต่มีข้อจำกัดตรงที่ส่วนมากจะต้องผสมหลายชนิด การทนต่ออุณหภูมิการใช้งานสูงๆ จะไม่ค่อยดีนัก การดูซัก และการคายความร้อน ได้ยาก และที่สำคัญมากๆ เลยคือใยสังเคราะห์บางตัวไม่ใช้ Asbestos อาจจะมีอัตรายต่อระบบหายใจได้

2. Semi-Metallic หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า Semi met กลุ่มนี้จะใช้วัตถุดิบที่เป็นใยเหล็กเป็นองค์ประกอบของโครงสร้างพื้นฐานเลย และมีแรงเสียดทานเพียงบางส่วน ในกลุ่มนี้จะมีลักษณะเด่นคือ มีความปลอดภัยสูงมากต่อระบบทางเดินหายใจ และมีความสามารถทดทานต่ออุณภูมิสูงๆ ได้ดี มีการคายความร้อนได้เร็ว แต่ยังมีข้อจำกัดอยู่คือในด้านการเกิดเสียงดังและฝุน

3. Fully Metallic หรือ Metallic กลุ่มนี้จะใช้วัตถุดิบคือผงเหล็กและนำมาขึ้นรูปด้วยเทคนิคการซินเทอร์ริง (Sinter) ซึ่งการอัดขึ้นรูปลักษณะนี้จะเป็นการอัดขึ้นรุปที่มีแรงดันสูงและมีอุณหภูสูงปานกลาง ซึ่งผงเหล็กที่ใช้จะเป็นผงเหล็กพิเศษโดยเฉพาะ ตรงที่สามารถทนต่ออุณหภูมิการใช้งานสูงๆ ได้มาก

4. ASBESTOS เป็นผ้าเบรคที่มีองค์ประกอบหลักเป็นใยหินมีราคาถูก และให้แรงเสียดทานได้ดีที่อุณหภูมิต่ำๆ แต่มีอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจต่อสิ่งมีชิวิตอย่างมาก หลายๆ ประเทศจึงออกกฎห้ามผลิตผ้าเบรคชนิดนี้แล้ว

5. กลุ่ม Advanc Material กลุ่มนี้จะเป็นวัตถุดิบที่อยู่นอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้วทั้งหมด ซึ่งเป็นการใช้เทคโนโลยีขั้นวสูงในการหาวัตถุดิบรวมถึงการผลิตด้วยเทคนิคพิเศษต่างๆ
ผ้าเบรคที่ดีและควรนำมาใช้

ผ้าเบรคที่ดีควรจะไม่มีสารแอสเบสตอสผสมอยู่ ผ้าเบรคควรจะสามารถหยุดรถได้ดีมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการใช้งานขอผุ้ขับขี่เป็นหลัก เช่น หากขับรถที่ความเร็วต่ำๆ อยู่ตลอด การซื้อผ้าเบรคที่ทนอุณหภูมิสูงๆ มันจะดุไร้สาระไปเลย ผ้าเบรคที่ดีควรมีเสียงน้อย

ทริป
หลังจากเปลี่ยนผ้าเบรคมาใหม่ๆ ในช่วงแรกของการใช้งาน ประมาณ 200 กม. แรก ไม่ควรเหยียบเบรคอย่างรุนแรง เพราะจะทำให้ผ้าเบรค และจานเบรคเป็นรอยได้ และจะทำให้การเบรคมีเสียงดังและประสิทธิภาพลดลง

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ประโยชน์ของ โรลบาร์และค้ำโช๊ค

ในปัจจุบันนี้เราคงได้เห็นรถแต่ง รถซิ่งหลายๆ คันติดตั้งเจ้าอุปกรณ์ที่เรียกว่า "โรลบาร์และค้ำโช๊ค" กันอยู่เป็นประจำแต่ เคยคิดสงสัยกันบ้างไหมว่าเจ้าอุปกรณ์ทั้ง 2 อย่างนี้ มันใช้ทำอะไร มันมีประโยชน์อย่างไร ติดตั้งไปแล้วคุ้มค่าไหม คำถามต่างๆ มากมายคงเกิดขึ้นในหัวเป็นแน่แท้ เอาล่ะวันนี้เราจะมีเรียนรู้จักเจ้า "โรลบาร์และค้ำโช๊ค" ไปด้วยกันเลย

เริ่มกันที่ "โรลบาร์" ก่อนเลย
โรลบาร์คืออุปกรณ์เสริมความแข็งแรงของตัวถังรถยนต์และห้องโดยสาร เวลาเข้าโค้งแรงๆ ยังช่วยเหลือให้ตัวถังของรถบิดตัวได้น้อยลงทำให้อาการโยนตัวของตัวถังลดลงด้วย อีกทั้งยังป้องกันนักขับเวลาเกิดอุบัติเหตุรถยนต์หงายท้องได้อีกต่างหาก

โรลบาร์ส่วนใหญ่จะใช้เหล็กกลม (ถ้าใช้เหลี่ยมแล้วไปกระแทกถูกจะเป็นอย่างไรคิดกันเอาเองนะ) ขนาดที่เหมาะสมก็จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.5 นิ้ว - 1.6 นิ้ว ความหนาประมาณ 22 มิลลิเมตร รูปแบบการขึ้นรูปก็จะมีทั้งแบบ 2 จุด คือรูปตัวยูคว่ำ โดยจะยึดติดกับบริเวณเสากลาง หรือเสาบีนั่งเอง ส่วนแบบ 4 จุดก็จะเพิ่มจุดยึดด้านหน้าเข้าไป หรือที่ตำแหน่งเสาเอ และถ้าเป็นแบบยึด 6 จุด ก็จะมีการค้ำในส่วนของด้านหลังเพิ่มเข้ามาอีก 1 ตำแหน่ง ซึ่งแบบ 6 จุดนี้จะนิยมสำหรับรถแข่งเป็นหลักครับ ถ้าเอาแบบ 6 จุดมาติดรถบ้าน ก็ต้องรื้นเบาะหลังออกทั้งหมด เหลือที่นั่งแค่ 2 ที่ด้านหน้าเป็นรถสปอร์ตไปเลย การออกแบบก็จะเน้นให้มีจุดที่โค้งงอน้อยเข้าไว้ และส่วนใหญ่ก็จะเสริม X Bar หรือ T Bar เข้าไปที่บริเวณที่ต้องรับแรงมากที่สุดด้วย การติดตั้งจะมีทั้งแบบติดตั้งถาวร (เชื่อมติดไปเลย) กับแบบยิงน๊อต แบบหลังนี้สามารถถอดออกได้

ประโยชน์ของโรลบาร์ (ต้องติดให้ได้มาตรฐานด้วยนะ)
1. กันโคลงและช่วยให้ตัวถังบิดตัวน้อยลง ทำให้เกาะถนนดีขึ้นเมื่อต้องเข้าโค้งแรงๆ
2. ช่วยนักขับเวลาเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำได้
ข้อเสีย
1. เสียเงิน (จริงไหมล่ะ)
2. รถหนักขึ้นทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื่อเพลิงมากขึ้น
3. รถแข็งกระด้างมากขึ้น

ข้อควรระวังจากการใส่โรลบาร์
จากเนื้อหาที่กล่าวไปแล้วโรลบาร์สามารถช่วยเหลือนักขับได้มาก แต่ก็มีกรณีที่ต้องระมัดระวังเช่นกัน เนื่องจากโรลบาร์เป็นอุปกรณ์ที่ติดเข้าไปในห้องโดยสาร ซึ่งเป็นเหล็กมีความแข็ง หากนักขับไม่ใช้เบาะบักเก็ตซีทและเข็มขัดนิรภัยยึด 4 จุด แล้ว เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นตัวนักขับอาจจะถูกแรงเหวี่ยวหลุดออกจากเบาะนั่ง กระแทกกับโรลบาร์จนบาดเจ็บสาหัสได้

ฉะนั้นใครก็ตามที่กำลังจะติดตั้งโรลบาร์ก็ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมกันก่อนนะครับ อย่าคิดเอาเท่อย่างเดียว เดี่ยวนรกจะถามหาเอาได้

ต่อด้วย "ค้ำโช๊ค"
ค้ำโช๊ค (Strut Tower Bar) คืออุปกรณ์ยึดหัวเบ้าช็คทั้งสอบด้านของรถยนต์ มีแปลนยึดติดกับหัวเบ้าโช๊คหน้าและโช๊คหลัง หรืออาจจะค้ำยันตัวถังของรถส่วนใดส่วนหนึ่ง

จุดประสงค์ก็เพื่อลดการบิดของตัวถังรถ (คุณสมบัติเหมือนกับโรลบาร์เลย) เพราะการขับขี่หรือการเกาะถนนที่ยอดเยี่ยมนั้นส่วนหนึ่งมาจากการบิดตัวของตัวถังด้วย หากตัวถังบิดตัวได้มาก การเกาะถนนจะลดลง อุปกรณ์อย่างค้ำโช๊คจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะค้ำตัวถังให้แข็งแรงบิดตัวได้น้อยลง แต่การสที่ต้องถังบิดตัวน้อยลงนั้น จะต้องแลกกับความนุ่มนวลในการขับขี่ที่ลดลงเช่นกัน ค้ำโช๊คหรือการติดตั้ง Strut Tower Bar นั้นเป็นวิธีการที่วงการแข่งขันรถยนต์ทำนิยมกัน เพื่อรองรับการใช้งานที่หนักขึ้นและลดการบิดตัวของตัวถังนั่นเอง

วัสดุในการผลิต ค้ำโช๊ค (Strut Tower Bar)
วัสดุมีทั้งแบบที่เป็นเหล็กทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เหล็กเกรดพิเศษ ซึ่งมีความแข็งแรงและเหนียวมาก อีกทั้งยังสามารถยืดหยุ่นได้ดีพวกโคโมลี่จะมีความแข็งแรก แต่ก็มากับความแข็งกระด้างมากเพราะการให้ตัวมีน้อย ส่วนแบบอะลูมิเนียมพวกนี้จะมีจุดเด่นที่น้ำหนักเบา และมีความยืดหยุ่นมากกว่าแบบที่ทำจากเหล็ก ส่วนแบบที่ทำจากไทเทเนี่ยม พวกนี้เน้นน้ำหนักเบาและความแข็งแรงสูง ส่วนแบบที่ใช้ทั้งเหล็กและอะลูมิเนียมผสมกันนั้นจะให้ความแข็งแรงและมีน้ำหนักเบาด้วย ปัจจุบันนี้แบบที่ทำจากกราไฟท์หรือคาบอนเคฟล่า แบบนี้จะให้ความสวยงามอีกทั้งยังมีความยืดหยุ่นดี

ประโยชน์ของ ค้ำโช๊คหน้า (Strut Tower Bar)
1. ช่วยในการควมคุมรถได้ดีขึ้น เนื่องจากตัวถังแข็งแรงขึ้นการบิดตัวหรือให้ตัวมีน้อยลง
2. ลดความเสียหายของตัวถังในจุดที่ติดตั้ง และยังช่วยตัวถังในการซับแรงกระแทกต่างๆ
3. ลดแรงกระแทกกับชุดช่วงล่าง เช่น เมื่อรถตกหลุมเหล็กค้ำโช็คก็จะช่วยกระจายแรงกระแทกออกไปอีกฝั่งหนึ่งด้วย ทำให้อายุการใช้งานของโช็คยาวนานขึ้น
4. เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ย่านความเร็วสูงมากขึ้น

ข้อเสีย
1. เสียเงิน (จริงไหมล่ะ)
2. รถหนักขึ้นทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื่อเพลิงมากขึ้น
3. รถแข็งกระด้างมากขึ้น

ส่วนใหญ่แล้วค้ำโช็คที่เราเรียกๆ กันจนติดปากตัวสำคัญที่สุดคือ "ค้ำโช๊คหน้า" เพราะการใส่ค้ำโช๊คเอาไว้มันจะด้วยค้ำยันตัวถังส่วนนั้น ดังนั้นค้ำที่ตรงจุดใดที่เกี่ยวกับมุมของล้อมันก็จะแข็งแรงที่จุดนั้น และมื่อเราขับรถเข้าโค้งไป ตัวถังรถยนต์มันก็จะเอนรับไปกับโค้งดวย จุดนี้เองที่เป็นของดีของตัวถังรูปแบบ MONO COCQUE แต่เมื่อเราซื้อเหล็กมาค้ำตัวถังตามจุดต่างๆ เอาไว้หลายจุด ตัวถังมันจะแข็งขึ้น และการตอบสนองจะดีขึ้นด้วย

ฉะนั้นรถที่จะต้องติดอุปกรณ์ทั้ง 2 อย่างไม่ว่าจะเป็นเหล็กค้ำจุดต่างๆ หรือโรลบาร์ก็เพื่อให้ตัวถังแข็ง จะได้ไม่รับกับโค้งมากนั้น ซึ่งก็คือรถประเภทใช้ในการแข่งขัน เช่น รถแข่งทางตรง (รถแข่งดริฟ), รถแข่งทางเรียบ (รถแข่งเซอร์กิต)  โดยรถแข่งทุกประเภทก็จะเน้นการเซ็ตรถแบบ Over Steer เอาไว้เพื่อช่วยในการเข้าโค้ง เพราะหากเซ็ตเป็นแบบ Under steer จะทำให้หน้าดื้อโค้งมากจนเลี้ยวไม่ได้ หรือเรียกว่าหน้าแถ หรือหน้าดื่ออันนี้ก็แล้วแต่ ดั้งนั้นรถแข่งแบบเซอร์กิตจะเน้น Grip ให้มากที่สุด การเซ็ตรถสำหรับแข่งแบบเซอร์กิตนั้น จะต้องตรวจสอบการกระจายความสมดุลหน้าและหลังเป็นสำคัญ ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือในการเข้าโค้งอีกทางหนึ่ง

ค้ำโช๊คล่าง (Lower Arm Front and Rear)
ทำหน้าที่ยึดติดกับบูทปีกนกทั้ง 2 ด้านไม่ได้ดิ้นไปมาได้ ทำให้เวลารถตกหลุมช่วยให้อาการเซหรือเสียหลักของรถยนต์ลดลง อาการอีกอย่างคือเวลาตกหลุมบ่อยๆ หรือกระแทกบ่อยๆ จะทำให้ศูนย์ล้อที่ตั้งเอาไว้เปลี่ยนได้เร็วขึ้น เมื่อศูนย์ล้อเปลี่ยนก็จะทำให้เกิดอาการกินยางตามมาอีกทั้งด้านนอกและด้านในเลยทีเดียว แต่หากเป็นรถที่ใส่ค้ำล่างเอาไว้จะทำให้ศูนย์ล้อที่ตั้งเอาไว้เคลื่อนได้ยาก

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Shortcar รถสั้นมันส์ได้หลายรูปแบบ

Shortcar รถสั้นมันส์ได้หลายรูปแบบบรรดารถแข่งนั้นมีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันไม่ว่าจะประเภทและรูปแบบของการแข่งขัน ประเภทและรูปแบบของตัวรถ รวมไปถึงเครื่องยนต์ต่างๆ ซึ่งถ้าหากแยกย่อยออกมานั้นก็คงนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นมีรถอยู่ประเภทหนึ่งที่ดูท้าทายในการขับขี่แข่งขันจากความกะทัดรัดของรถ ประเภทที่เรียกว่า Shortcar

ที่ผ่านมาบ้านเราก็มีรถที่สร้างโดยคนไทยเองและจัดแข่งเป็นซีรี่ส์ชิงแชมป์ประจำปีกันไปแล้วให้เห็น ในต่างประเทศก็มีเช่นกัน และอย่างที่บอกว่ารถแข่งนั้นมีหลากหลาย สำหรับคราวนี้เราไปดูกันที่ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเค้าได้สร้างรถเพื่อจุดประสงค์หลักคือการแข่งขัน โดยรถนี้สามารถประกอบได้รวดเร็วดังใจ ตรงตามความต้องการ เพื่อความสนุกสนาน และที่สำคัญต้องราคาถูก เรียกว่า Shortcar ในปี 2010 ที่ผ่านมานั้นเป็นฤดูกาลที่ 9 แล้วหลังจากที่ Shortcar ได้ถือกำเนิดขึ้นมาและมีการจัดแข่งขันกันจนเป็นซีรี่ส์ในประเทศบ้านเกิดคือนอร์เวย์ ซึ่งในแต่ละซีรี่ส์ในปีที่ผ่านมานั้นหนึ่งซีรี่ส์นั้นก็เห็นจะมีเจ้า Shortcar ไปเพ่นพ่านกันทีละ 40 คัน

ซึ่งทางผู้ผลิตเองยังยืนยันว่าเป็นการเติบโตที่เร็วมากสำหรับรถแข่งคันจิ๋วพลังแรง เพราะซีรี่ส์การแข่งขันของเจ้า Shortcar นั้นมีหลายรูปแบบอย่างน้อยๆ ก็มี 3 รูปแบบที่แน่นอนและได้รับการรับรองสำหรับการแข่งขันในประเทศนอร์เวย์แล้วก็คือ Racing, Rally Cross และ Hill Racing (Climbing หรือแข่งขึ้นเขานั่นเอง ) ซึ่งก็เป็นซีรี่ส์แชมเปี้ยนชิพเพื่อชาวนอร์เวย์เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังสามารถเอาเจ้ารถสั้นนี้ไปปรับแต่งเพื่อที่จะใช้แข่งกันบนสนามพื้นน้ำแข็งได้อีกด้วย

สิ่งที่ทำให้ง่ายต่อการเจริญเติบโตของวงการแข่งรถสั้นนี้คือราคาที่ไม่สูงมาก และยังมีชุดคิทที่สามารถซื้อหาไปสร้างรถเองได้ด้วย สั่งมาส่งถึงบ้านเอาไปประกอบเองเลยก็ได้ อารมณ์เหมือนกับบรรดารถบังคับที่ใช้แข่งขันกันนั่นแหละ สนนราคานั้นเริ่มต้นตั้งแต่ 12,000 ยูโร ซึ่งผู้ที่ซื้อไปประกอบร่างนี้จะต้องไปสรรหาอุปกรณ์บางส่วนเพิ่มเติมเองเช่น เบาะนั่ง,พวงมาลัย,ล้อและยาง รวมถึงเครื่องยนต์ (เห็นไหมว่าเหมือนรถบังคับไม่มีผิด)

แต่ก็ใช่ว่าบรรดานักซิ่งหรือนักแข่งเดียวดายจะหมดโอกาส หากไม่มีทีมช่างหรือประกอบรถไม่เป็นทางสำนักยังมีแบบที่เรียกว่า "ประกอบพร้อมขับ" โดยเตรียมกระเป๋าใส่เงินใบใหญ่ขึ้นมาอีกนิดตอนไปซื้อเพราะว่าค่าตัวจะขยับขึ้นไปที่ 16,000-18,000 ยูโร (ในนอร์เวย์) แค่นี้ก็สามารถนำมาแข่งได้ทันที หรือจะปรับแต่งอีกตามกติกาก็ไม่มีใครว่า แน่นอนว่าเมื่อเจ้ารถสั้นนี้พร้อมที่จะทำการแข่งขันแล้วก็ยังต้องเตรีมค่าใช้จ่ายทั้งหลายทั้งปวงที่จะตามมาด้วย

ซึ่งค่าบำรุงรักษาต่อปีไม่มากมายอะไรหากไม่ทำเครื่องให้ซิ่งจนพร้อมจะพลีชีพตกอยู่ที่ประมาณ 2,000ยูโร ต่อหนึ่งฤดูกาล และส่วนมากจะหนักไปที่อุปกรณ์สึกหรอเช่น ยางที่ใช้แข่งส่วนประกอบของ Shortcar หลักๆ มาจากบรรดาท่อและจุดยึดที่เป็นน็อตและโบลท์ต่างๆ ที่จะประกอบขึ้นมากลายเป็นเฟรมของตัวรถส่วนบอดี้ที่นำมาครอบทำมาจากไฟเบอร์กล๊าสน้ำหนักเบา ตัวรถสามารถปรับได้อย่างอิสระ
นั่นหมายความว่ามุมต่างๆ ของช่วงล่างหรือการให้ตัวของจุดต่างๆ สามารถปรับได้เนื่องจากเป็นรถที่ประกอบขึ้นมาจากบรรดาท่อไม่ใช่เหล็กหล่อหรือปั๊มขึ้นรูปตายตัว ส่วนของเครื่องยนต์ที่นำมาทำเป็นเครื่องที่ใช้แข่งขันในซีรี่ส์ต่างๆ ก็จะเป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะ 4 สูบที่หยิบยกมาจากบรรดานักเลงมอเตอร์ไซค์ทั้งหลาย โดยลูกค้าจะเป็นผู้เลือกเองไม่ว่าจะเป็นรถที่นำชุดคิทไปประกอบเองหรือสั่งประกอบสำเร็จ ตัวเลือกก็จะมีเครื่องจากรถ YAMAHA R1, SUZUKI GSX-R 1000 R และ KAWASAKI ZX 12 R หรือ ZX 10 R เป็นต้น พิกัดความจุที่ใช้กันก็จะอยู่ประมาณ 1,000 ซีซี. สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอีกจุดขายของ Shortcar เพราะเป็นอะไรที่ง่ายๆ และให้ความปลอดภัยพอตัว

ตัวรถก็ไม่ยุ่งยากอุปกรณ์ส่วนมากเป็นชิ้นส่วนสแตนดาร์ดไม่ได้มีการโมดิฟายเพิ่มหรือเป็น Custom Made สามารถหาซื้ออะไหล่ได้ทั่วไปค่าบำรุงรักษาต่ำบวกกับน้ำหนักตัวที่เบานั้นทำให้มันสามารถขนย้ายไปแข่งที่ไหนต่อไหนได้อย่างสะดวก

รายการแข่งขันของรถเล็กนี้ได้ถูกรับรองโดย Norges Bilsport Forbund (NBF) หรือชื่อเป็นทางการคือ Norway's Auto Racing Federation ที่ขึ้นตรงกับ FIA ในซีรี่ส์ของปี 2011 นี้นอร์เวย์ประเทศบ้านเกิดจะจัดแข่งกันช่วงสุดสัปดาห์ทั้งหมด 8 Event รวม 13 เรซและการแข่งในปีนี้คาดว่าจะมีรถแข่งกว่า 50 คันนอกจากการแข่งขันแล้วยังรวมถึงมีการเปิดฝึกสอนสำหรับการขับแบบ Rally Cross จนกระทั่งทางเรียบ นอกจากการที่จัด Norway Cup แล้วบางครั้งบางคราวเจ้ารถสั้นนี้จะเดินทางไปโชว์ตัวพร้อมกับแสดงแสนยานุภาพให้ชาวโลกได้เห็นกันด้วยเพื่อความสนุกสนานกับสนามที่แตกต่าง โดยการโชว์นี้จะเข้าไปร่วมโชว์ในงานแข่งขัน แรลลี่ระดับโลกอย่าง WRC

ในสวีเดนที่พื้นที่เป็นน้ำแข็งและทางเป็นหิมะ น้ำหนักตัวที่เบาขนาด 480กก. ของตัวรถเมื่อจับคู่กับแรงม้าที่ป้วนเปี้ยนอยู่ที่ 200 แรงม้า อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักเพียงเท่านี้ทำให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างสนุกสนาน

สมรรถณะของเจ้า Shortcar ก็มีอยู่พอตัวด้วยน้ำหนักเบาฐานล้อสั้นเมื่อเซ็ทรถและวิ่งในสนามก็มักจะได้ติดชาร์ทบรรดาตัวแข่งที่ทำเวลาต่อรอบได้ดีไม่ว่าจะไปเล่นไปแข่งที่สนามไหน ซึ่งสำหรับแทร็คทางเรียบที่พื้นผิวแบบลวดยางเมื่อตัวรถจิ๋วนี้ใส่ยางสลิคสำหรับแข่งแล้วอัตราเร่งที่ดีที่สุดในตอนนี้คือจากหยุดนิ่งไปจนถึงความเร็ว 100กม./ชม. ใช้เวลาทั้งสิ้นเพียง 2.6 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดมากกว่า 250กม./ชม. ขึ้นอยู่กับอัตราทดเกียร์ที่เลือกเล่น