รู้จักกับก๊าซ LPG , NGV กันก่อน
โดยหลักๆ แล้ว พลังงานทางเลือก ที่นิยมใช้ในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน คงหนีไม่พ้นก๊าซ LPG และ NGV เริ่มต้นจากก๊าซ LPG (Liquefied Petroleum Gas) เป็น ผลิตภัณฑ์ ที่ได้จากการแยกน้ำมันดิบ ในโรงงานกลั่นน้ำมัน หรือการแยกก๊าซในโรงงานแยกก๊าซธรรมชาติ โดยก๊าซ LPG ประกอบด้วย ส่วนผสมของไฮโดรคาร์บอน 2 ชนิด คือ โพรเพน และบิวเทน ซึ่งมีคุณสมบัติไม่มีสี ไม่มีกลิ่น หนักกว่าอากาศ และติดไฟได้ง่าย
ส่วน ก๊าซ NGV (Natural Gas Vehicles) คือ ก๊าซธรรมชาติ สำหรับรถยนต์ ซึ่งได้มาจากบ่อขุดน้ำมัน หรือบ่อก๊าซโดยตรง ไม่ผ่านกระบวนการกลั่นที่หอกลั่น เพียงแต่นำมาแยก เอาสิ่งสกปรกออก เท่านั้น ประกอบด้วย สารประกอบประเภท ไฮโดรคาร์บอน จำพวกมีเทนเป็นหลัก ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เบากว่าอากาศ ติดไฟง่าย ก่อนนำมาใช้งานทั่วไปนั้น ต้องผ่านกระบวนการอัดตัว หรือที่เรียกว่า CNG (Compressed natural Gas) หรือ ก๊าซธรรมชาติอัดนั่นเอง
การติดตั้งก๊าซ LPG หรือ NGV นั้น ปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ประเภท ใหญ่ๆ คือ ประเภทที่ติดตั้งมาให้จากโรงงาน อาทิ รถ TOYOTA Hilux VIGO, HONDA City CNG และอีกหลายๆ ยี่ห้อ หรือประเภทที่นำไปติดตั้งเองจากสถานประกอบการภายนอก ซึ่งความแตกต่างหลักๆ ของทั้ง 2 ประเภท อยู่ที่การรับประกันเครื่องยนต์ เนื่องจากรถที่ไม่ได้ติดก๊าซจากโรงงานผู้ผลิต แล้วนำไปติดตั้งเองนั้น การรับประกันเครื่องยนต์จะสิ้นสุดลงทันที
ส่วนเรื่องของ ความปลอดภัย ถ้าใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน การติดตั้งมีมาตรฐาน ความปลอดภัยย่อมมีสูงอยู่แล้ว ไม่ว่าจะติดตั้งที่ใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากใครต้องการใช้รถติดก๊าซอยู่แล้ว ให้เลือกรถที่ติดตั้งก๊าซ มาจากโรงงานผู้ผลิต เลยดีกว่า เพราะโรงงาน ได้เผื่อพื้นที่การจัดวางอุปกรณ์ สำหรับระบบก๊าซไว้แล้ว จึงไม่ต้อง เจาะ ตัด กลึง ต่อตัวถังเพิ่มอีก
กรณีการติดตั้ง ก๊าซจากโรงงานผู้ผลิตนั้น ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ปัจจุบันเรื่องก๊าซกับรถยนต์ ไม่น่ากลัวเหมือนแต่ก่อน เพราะทุกชิ้นส่วน และทุกขั้นตอนการติดตั้ง มีระบบป้องกัน ที่มีมาตรฐาน ผ่านการค้นคว้าทดลองมาแล้วเป็นอย่างดี
อยากใช้งานรถติดก๊าซสักคัน ต้องรู้อะไรบ้าง
แม้ว่า เรื่องก๊าซในรถยนต์ กับเมืองไทย เริ่มได้รับความนิยมมาพักใหญ่ๆ แล้ว แต่เชื่อว่าผู้ใช้รถติดก๊าซบางท่านยังไม่ทราบว่า ปัญหาของรถติดก๊าซหลักๆ มีอะไรบ้าง เมื่อใช้ไปนานๆ ต้องตรวจเช็คอะไรบ้าง แต่ถ้าใครทราบแล้วก็คิดซะว่าอ่านซ้ำแล้วกัน หากย้อนอดีตไปสัก 5-10 ปี การติดก๊าซ ในรถยนต์ส่วนบุคคล ดูเป็นเรื่องใหญ่ และยุ่งยากมาก เพราะมันยังใหม่อยู่ การหาอู่ที่มีฝีมือ เชื่อถือได้ มีมาตรฐานยังมีน้อย ส่วนใหญ่จึงนิยมไปติดกับอู่ซ่อมรถทั่วไป ที่ไม่รู้ว่าได้มาตรฐานหรือเปล่า เมื่อต้องการแจ้งจดก๊าซลงเล่ม กับกรมขนส่งทางบก ก็ค่อยหาซื้อใบรับรองวิศวกรเอา สมัยนั้นจำได้ว่ามีตั้งแต่ 400-1,000 บาท (วิธีนี้ไม่แนะนำให้ทำ แต่ปัจจุบันอู่ประเภทนี้น่าจะสูญพันธ์ไปหมดแล้ว) การติดก๊าซยุคนั้นจึงจำกัดอยู่ในวงแคบ ส่วนใหญ่จะเป็นรถช่างหรือผู้ที่พอซ่อมรถได้ เนื่องจากขับไปสักพักก็ต้องจูนใหม่ เพราะมันเป็นก๊าซ Mixer เพี้ยนง่าย (ระบบหัวฉีดยุคนั้นแพงมาก) แต่ในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา พลังงานทางเลือก กลับเป็นช่องทางที่ผู้ใช้รถต้องการมากขึ้น ด้วยเหตุผล เรื่องความประหยัด รถใช้ก๊าซ และปั๊มก๊าซจึงเพิ่มขึ้นมาก
ปัญหาหลักของ รถติดตั้งก๊าซ ที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ อุณหภูมิความร้อน จากการสันดาป ของเครื่องยนต์ไปส่งผลต่อวาล์ว ทำให้ วาล์วไอเสียยัน เนื่องจากความร้อน เป็นชนวนหลัก ทำให้วัสดุขยายตัว เมื่อร้อนมากก็ขยายมาก ถ้าเกินขีดจำกัด วาล์วก็ยัน ส่วนอีกปัญหา ที่พบบ่อย คือ บ่าวาล์ว ที่สึกหรอเร็วขึ้น เพราะก๊าซเป็นพลังงานสะอาด เขม่าที่เกิดจากการ เผาไหม้จึงมีน้อย ส่งผลให้เขม่า ไปเกาะ บ่าวาล์ว ได้น้อยด้วย บ่าวาล์วก็สึกเร็ว นอกจากนั้นยังมี เรื่องการ ผุกร่อนของระบบไอเสีย แคตตาไลติค ท่อยาง เสื่อมสภาพเร็วขึ้น เนื่องจากเครื่องยนต์ มีความร้อนสูง
วิธีการดูแลปัญหาเหล่านี้ คือ เปลี่ยนถ่ายของเหลว ตามระยะ ตรวจเช็คกรองก๊าซ หัวเทียน ท่อยางน้ำ ท่อยางก๊าซ บ่อยๆ หากสึกหรอ ให้รีบเปลี่ยนทันที (เปลี่ยนก่อนระยะที่ระบุไว้ก็ได้ หากวัสดุเริ่มเสื่อมสภาพแล้ว) แต่ในปัจจุบัน รถที่ติดตั้งระบบก๊าซ มาจากโรงงานบางรุ่น (ไม่ใช่ทุกรุ่น) ได้แก้ไขจุดอ่อนส่วนนี้ ด้วยวิธีการเสริมบ่าวาล์วใหม่ เคลือบผิววาล์ว ให้แข็งแรงเพิ่มขึ้น ทนความร้อนได้สูงขึ้น ฉะนั้นปัญหาเรื่อง วาล์วไอเสีย บ่าวาล์วเสียหายเร็วนั้น จึงทุเลาลงไปได้มากพอสมควร
รถติดก๊าซ ใช้อย่างไรให้คุ้มค่า
อันที่จริงแล้ว รถที่ซื้อมาราคานับแสนนับล้านนั้น มันจะคุ้มค่า ก็ต่อเมื่อเราใช้งานมัน (รถที่จอดอยู่ก็มีแต่เสื่อม ถึงไม่เสื่อมสภาพ ก็เสื่อมราคาไปทุกวัน) รถติดก๊าซ ก็ไม่ต่างอะไร กับรถที่ใช้น้ำมัน ถ้าใช้บ่อยๆ เดินทางบ่อยๆ ไม่นานก็คุ้มค่า คิดง่ายๆ ถ้าใช้ก๊าซ แล้วประหยัดเงินกว่าใช้น้ำมัน กิโลละ 2 บาท เมื่อใช้ 2 หมื่น กิโลเมตร ประหยัด 4 หมื่นบาท ใช้ 1 แสนกิโลเมตร จะประหยัด 2 แสนบาท แต่ก็มาพร้อม ความสึกหรอของเครื่องยนต์ โดยเฉพาะเครื่องยนต์รุ่นเก่า ที่ไม่ได้รองรับก๊าซ แต่คิดอีกแง่ ก๊าซคือ เชื้อเพลิงชนิดหนึ่ง ที่ทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้เหมือนกัน รวมถึงเครื่องยนต์ต่างก็มีอายุการใช้งานของมัน ฉะนั้นไม่ว่าจะใช้ก๊าซ หรือใช้น้ำมัน สักวันเครื่องก็พังอยู่ดี
แต่ในบางประเทศนิยมใช้ก๊าซ เนื่องจากมีกฎหมายระบุ ให้รถใช้งานแค่ 8 ปี หรือ 10 ปี เกินกว่านั้นก็ทุบทิ้ง หรือแยกเป็นอะไหล่ แต่สำหรับประเทศไทย ไม่ได้ระบุอายุการใช้งานของรถไว้ รถอายุ 15ปี แล้ว ยังใช้เครื่องเดิมอยู่ ก็ต้องมีค่าซ่อมแซมเป็นธรรมดา แต่อย่างที่เกริ่นไปแต่แรก รถที่ใช้ก๊าซ มีโอกาสที่เครื่องยนต์จะสึกหรอเร็วกว่าปกติ แต่ก็ไม่เสมอไป ขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาด้วย
ฉะนั้นถ้าหมั่นดูแล ตรวจเช็คเครื่องยนต์อยู่เสมอ ตามวิธีที่ได้กล่าวมา ไม่ใช้เครื่องยนต์หนักหน่วงเกินไป สลับไปใช้น้ำมันให้หัวฉีดน้ำมัน และปั๊มติ๊กได้ทำงานบ้าง และหมั่นดูอุณหภูมิความร้อน เครื่องยนต์บ่อยๆ เพียงเท่านี้ เครื่องมันก็ไม่พังง่ายๆ ยิ่งเป็นรถรุ่นใหม่ ที่มีระบบเสริมความแข็งแรง ของฝาสูบด้วยแล้ว อาจทนได้เป็น แสนกิโลเมตร เมื่อถึงเวลานั้นลองคิดดูว่า คุณใช้รถมาขนาดนี้ คุ้มค่าหรือยัง