วันเสาร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ความรู้เรื่องช่วงล่างระบบถุงลม สำหรับสาวก VIP และยางรถยนต์

AIR SUSPENSION  คือ ช่วงล่างระบบถุงลม ทั้งนี้จริงๆ แล้วก็ใช่ว่าระบบ  AIR SUSPENSION จะจำเพาะเจาะจงเอาไว้ใช้กับรถยนต์ที่ตกแต่งในแบบ VIP เท่านั้น ทว่าระบบช่วงล่างถุงลมที่ว่านี้  สามารถนำไปใช้กับรถยนต์ได้ทุกรุ่นทุกแบบทีเดียว  และการเปลี่ยนระบบช่วงล่างมาเป็นระบบถุงลม ก็ไม่ใช่ว่าจะน่ากลัว หรือมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษามากกว่า ระบบช่วงล่างแบบโช๊คอัพ+คอยล์สปริง ตามปกติที่เราเห็นกันในรถยนต์ทั่วไป

อุปกรณ์หลักๆ ที่ต้องใช้หากคิดจะติดตั้ง "ช่วงล่างระบบถุงลม" คือ
- ปั๊มลม  ถังเก็บลม  ตัวถุงลม  ช็อคอัพ  โซลินอยด์วาล์ว
ขั้นตอน การติดตั้ง "ช่วงล่างระบบถุงลม" ก็ต้องบอกว่าไม่ได้ยุ่งยาก  หรือมีการดัดแปลง เจาะตัวรถให้เสียหายแต่อย่างใด โดยมีขั้นตอนดังนี้
 - จุดยึดของ ช็อคอัพ ยังคงอยู่ที่เดิม จากนั้นจึงถอด ช็อคอัพ นำไปตรวจเช็ค  ซึ่งหากมีปัญหา ก็ต้องจัดการแก้ไขให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์
-  จากนั้นนำเอาไปประกอบเข้ากับถุงลม  โดยการเลือกใช้ถุงลม  ก็ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ของรถยนต์  แต่ละรุ่นว่าควรเลือกใช้ถุงลมใด แบบใด เพื่อให้เหมาะสมที่สุด
- จากนั้นจึงเดินสาย และต่อเชื่อมระบบปั๊มลม-ถังเก็บลม  และถุงลม ก็เป็น ก็เป็นอันใช้งานได้
ทั้งนี้ระยะเวลาการติดตั้งระบบถุงลม หากมีการเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เอาไว้เรียบร้อย ก็ใช้เวลาติดตั้ง รวมทั้งทดสอบการใช้งานก็ราว 2-3 วัน

สำหรับเรื่องของประสิทธิภาพการใช้งาน  ระบบถุง สามาถช่วยเพิ่มฟังก์ชั่น ในการยกตัวรถขึ้น  และลงได้อย่างสะดวก ขณะที่การยึดเกาะถนน  ยังสามารถให้ประสิทธิภาพได้เหมือนเดิม ที่ใช้ระบบคอยล์สปริง แต่ที่จะดีขึ้นชัดเจนก็คือ ในยามที่มีน้ำหนักบรรทุกมากๆ ระบบช่วงล่างถุงลม  สามารถให้ความนุ่มนวลได้ดีกว่า

ปัญหาที่มีโอกาสเกิดขึ้นใน "ช่วงล่างระบบถุงลม"
ซึ่งไม่ได้หมายความว่าเป็นเรื่องของ จุดด้อย ของระบบถุงลม ทว่าเป็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้  หากว่าอุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน   และการติดตั้งที่ไม่ดี ช่างขาดความรู้ ความชำนาญ  เช่น
- ปัญหาถุงลมแตก  ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นจะเกิดจากการติดตั้งที่ไม่ถูกต้อง  ใช้ประเภทถุงลมไม่เหมาะสม กับลักษณะของช่วงล่างรถในรุ่นนั้นๆ หากใช้งานทั่วไป โดยการติดตั้งที่ถูกวิธี  และอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน แทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลยเนื่องจากถุงลมที่นำมาใช้สำหรับรถยนต์  ทางโรงงานผู้ผลิต ได้ออกแบบมารองรับแรงดันสูงสุด  ไว้ที่ประมาณ 600 psi การนำมาใช้รถยนต์ทั่วๆ ไป แรงดันสูงสุดเต็มที่ไม่เกิน 200 psi  ซึ่งต่ำกว่าแรงดันที่ถุงลมรับได้ถึง 3 เท่าตัวเลยทีเดียว
- ปัญหาสายลมรั่ว/แตก  ปัญหาเกิดจาก การใช้สายลมที่ไม่ได้คุณภาพ  และการเก็บงานที่ไม่เรียบร้อย  ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น  และอีกสาเหตุคือ สายลมเสื่อมสภาพ ไม่ได้เปลี่ยนตามอายุการใช้งาน  ซึ่งปกติควรจะเปลี่ยนทุกๆ ปีครึ่งถึง 2 ปี

- ปัญหาลมรั่วซึมในระบบ  ส่วนใหญ่เกิดจาก มีเศษฝุ่นในระบบ หรือผงเศษเหล็กที่ค้างอยู่ในถุงลมตอนกลึง  หรือโอริงฉีกขาดเป็นต้น  เป็นอาการที่มีโอกาสพบเจอได้บ่อยในช่วงล่างระบบถุงลม  ซึ่งแก้ไขได้ไม่ยาก  ขึ้นอยู่กับความประนีตในการประกอบ  และหากระบบมีการติดตั้งบอลวาล์วเข้าไป  จะสามารถแก้ปัญหานี้ได้เป็นอย่างดี

- ปัญหาปั๊มลมเสีย   ปัญหาเกิดจาก คุณภาพของปั๊มลมที่เลือกใช้  และการใช้งานที่เกินกำลังของปั๊มลม  คือหากเราติดตั้งปั๊มลมเพียงตัวเดียว จะไปกดเล่นต่อเนื่อง แบบรถที่ทำมาโชว์ก็คงไม่ได้  เรื่องพวกนี้ทางเจ้าของรถต้องคุยกับร้านที่ติดตั้งก่อน  เพื่อที่จะวางระบบให้เหมาะสมกับการใช้งาน
ปัญหาที่เกิดจากตัวปั๊มลม

ในตลาดตอนนี้มี ปั๊มลม ให้เลือกหลากหลาย มีทั้งของเก่าญี่ปุ่นเอามาบิวท์ใหม่  และของที่ไม่ได้คุณภาพ ไม่ตรงตามสเป็คที่ผู้ผลิตแจ้ง  เนื่องจากต้องการลดต้นทุนของสินค้า  ทางด้านผู้ที่ติดตั้งระบบถุงลมไปแล้ว  ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใส่ใจ และศึกษาเกี่ยวกับวิธีการบำรุงรักษา  เพื่อให้สามารถยืดอายุการใช้งาน ของระบบถุงลม ไปได้นานๆ

วิธีการบำรุงรักษา  
- ควรปล่อยลมออกจากระบบหากไม่ได้ใช้รถเป็นเวลานาน   เพื่อไม่ให้สายลม และจุดข้อต่อต่างๆ รับภาระหนักตลอดเวลา เป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานของสายลมได้
- ควรปิดสวิทช์ไฟทุกครั้งหลังจอดรถเรียบร้อย  เพื่อป้องกันในกรณีที่ปั๊มลม หรือระบบไฟผิดปกติ
- ควรนำรถเข้าตรวจเช็คระบบทุกๆ 6เดือน   เพื่อทำความสะอาดถังลม เอาคราบสนิมที่เกิดจากความชื้น ภายในถังลมออก เปลี่ยนตัวดักความชื้นในระบบ  และตรวจเช็คจุดรั่วซึมและความผิดปกติของระบบ
- หากมีปัญหาการใช้งานหรือรั่วซึม  ควรปรึกษาช่างติดตั้ง  ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้นาน อาจเกิดปัญหาใหญ่ภายหลังได้

ทั้งหมดนี้นับเป็นความรู้ส่วนหนึ่ง สำหรับผู้ที่ต้องการจะติดตั้ง "ช่วงล่างระบบถุงลม" อีกทั้งยังเป็นข้อมูลให้สามารถตัดสินใจได้ว่า ควรจะติดตั้งหรือใช้ระบบช่วงล่างถุงลมหรือไม่

ยางรถยนต์
ของสิ่งเดียวของรถที่ต้องอยู่ติดกับพื้นถนน ของสิ่งนั้นก็คือ "ยางรถยนต์" นั่นเอง ยางนั้นเป็นอุปกรณ์สำคัญส่วนหนึ่งของรถยนต์ หน้าที่ของมันนั้น นอกจากจะสร้างการยึดเกาะกับถนนแล้วตัวมันเองยังต้องทำหน้าที่ช่วยรับแรงกระแทกเป็นส่วนแรกก่อนที่จะส่งแรงกระแทกนั้นไปยังช่วงล่าง เพื่อที่จะรองรับการสั่นสะเทือนของตัวรถยนต์ให้มีน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้

ในการเลือกใช้ของที่จะนำมาแต่งรถนั้นเราทุกคนคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าสิ่งไหนดีหรือสิ่งไหนที่ดีกว่า และทุกคนคงจะคิดเหมือนกันว่า อยากได้สิ่งที่ดีกว่าแต่ด้วยเหตุผลต่างๆ ของแต่ละบุคคลอาจจะทำให้ไม่สามารถเลือกสิ่งที่ดีกว่าได้ ดังนั้นก็อาจจะต้องมามองหาสิ่งที่ดีที่สุดตามกำลังที่จะสู้ไหว
ฉะนั้นในช่วงที่เศรษฐกิจของบ้านเรายังคงชะลอตัวอยู่ การเลือกเปลี่ยนยางใหม่ๆ สักหนึ่งชุดก็อาจจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับใครบางคน ดังนั้นสิ่งที่เรามองหาก็ต้องเป็นของดีราคาถูกย่อมหนีไม่พ้นของมือสอง การเลือกซื้อยางมือสองใช่ว่าจะดูเพียงแค่ดอกยางที่ยังมีอยู่มากเพียงอย่างเดียว หลายๆ คนอาจจะเคยเจอปัญหาบางประการ ตัวอย่างเช่น เมื่อตอนที่ซื้อยางมือสองมานั้นยางยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก ดอกยางมีเหลืออยู่เพียบแต่พอใส่ล้อวิ่งไปได้อยู่เพียงไม่กี่วันก็เกิดปัญหาขึ้นคือ ยางเกิดแตกโดยที่ไม่ทราบสาเหตุในกรณีที่โชคดีก็อาจจะไม่มีปัญหาอะไร แต่ลองคิดดูว่า ถ้าหากเรากำลังวิ่งอยู่บนถนนโดยใช้ความเร็วสูงอยู่เกิด"ยางรถยนต์" แตกขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ได้มันคงจะเลวร้ายมากทีเดียว

เทคนิคการเลือกซื้อ "ยางรถยนต์"
ดังนั้นเวลาเลือกซื้อยางไม่ว่าจะเป็นยางเก่าหรือว่ายางใหม่นั้น สิ่งแรกที่ควรจะต้องพิจารณาก็คือ สัปดาห์และปีที่ผลิตของยางเส้นนั้นๆ เพราะถ้าหากว่าเราเลือกซื้อยางโดยที่ไม่ได้ดูปีที่ผลิตของยางแต่ดูเพียงสภาพภายนอกเพียงอย่างเดียวก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นในภายหลังได้ ยางรถยนต์ทุกเส้นนั้นผู้ผลิตจะทำการปั๊มตัวเลขบอกไว้เป็นรหัสอยู่ในช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านข้างของแก้มยางเป็นปีที่ผลิตของยางเส้นนั้นๆ แต่ในส่วนของสัปดาห์ที่ผลิตนั้นอาจะไม่ต้องสนใจมากนัก รหัสที่อยู่ในช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้านั้นตัวเลขทางด้านขวาสุด จะเป็นตัวเลขที่บอกถึงปีที่ผลิตของยาง ยกตัวอย่างเช่น ในช่องสี่เหลื่ยมมีรหัสว่า AMB217 ตัวเลขที่เห็นนั้นให้แยกระหว่าง 21 กับ 7 ออกจากกัน ตัวเลข 21 หมายถึงสัปดาห์ที่ผลิต ตัวเลข 7 หมายถึงปีที่ผลิต ดังนั้นตัวเลข 217 ที่ได้เห็นนั้นจึงมีความหมายว่ายางเส้นนั้นๆ ผลิตในสัปดาห์ที่ 21 ของปี 1997

ซึ่งรหัสตัวเลขที่มีอยู่บนยางนั้นแต่ละยี่ห้อของยางก็จะแตกต่างกันออกไป จึงอยากแนะนำให้สนใจที่ตัวเลขสุดท้ายของยางในช่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าว่าเป็นเลขอะไร เพียงแค่นั้นเราก็จะรู้ว่ายางเส้นที่เราจะซื้อนั้นเป็นยางปีอะไร หรือที่เราเรียกกันว่ายางสดแค่ไหน ทีนี้การเลือกซื้อยางมือสองในครั้งต่อไปของคุณก็จะเป็นไปอย่างคุ้มค่าเงินที่เสียไปมากที่สุด

วิธีการดูแลรักษา "ยางรถยนต์" 
1. ตรวจวัดลมยางให้ตรงกับที่ผู้ผลิตระบุไว้เสมออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และเมื่อเดินทางไกล ใช้ลากจูงหรือบรรทุกน้ำหนักมากจำเป็นที่จะต้องเพิ่มลมยางให้สูงขึ้น 2-3 ปอนด์ทุกครั้ง เพื่อป้องกันยางชำรุดที่เกิดจากความร้อนสูงและโครงยางบิดตัว
2. ศูนย์ล้อและช่วงล่างรวมถึงระบบเบรกและระบบส่งกำลัง หากผิดปกติต้องรีบตรวจซ่อม มิฉะนั้นยางจะชำรุดและสึกหรอเร็วกว่าที่กำหนดอีกทั้งยังเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถด้วย
3. หมั่นตรวจดูหน้ายางและร่องยาง ถ้าพบก้อนกรวดขนาดเล็กติดอยู่ให้แกะออก เพื่อป้องกันการฝังตัวทำให้รั่วซึม และถ้าพบวัสดุแหลมคมทิ่มแทงอยู่ในเนื้อยางให้รีบเอาออกและทำการปะซ่อมทันที
4. การปะยางจะทำได้เฉพาะกับแผลที่ไม่กว้างนัก และทำได้เฉพาะแผลที่เกิดบริเวณหน้ายางเท่านั้น (ห้ามซ่อมแผลบริเวณไหล่ และแก้มยางโดยเด็ดขาด) และสำหรับการซ่อมต้องทำการซ่อมจากด้านในของยางเท่านั้น
5. การสลับยางทุกๆ 10,000 กม. เพื่อให้ยางทุกเส้นสึกเสมอกัน และควรเปลี่ยนยางใหม่เมื่อใช้งานถึง 40,000 กม. หรือ 30 เดือน หรือเมื่อดอกยางสึกไปจนเหลือ 2 มม.
จะเลือก "ยางรถยนต์" ขนาดไหนดี

คำถามที่ถูกถามถึงเป็นประจำสำหรับนักผู้ที่ชื่นชอบการแต่งรถ "จะใส่แม็กของเท่าไหร่ดีถึงจะสวย" ซึ่งล้อแม็กเป็นสิ่งแรกที่เจ้าของรถที่รักสวยรักงามอยากเสริมสวยให้กับรถยนต์คันใหม่ แต่เรื่องแบบนี้บอกกันไม่ได้ว่าสวยหรือไม่สวย เนื่องจากขึ้นอยู่ที่ความชื่นชอบของแต่ละคน บางคนชอบเรียบ บางคนชอบหวือหวา ก็แตกต่างกันออกไป สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือใหญ่แค่ไหนที่จะใส่เข้าไปโดยที่ไม่ต้องทุบรถ เลี้ยวแล้วไม่ไปติดบังโคลนหรือใหญ่เกินกว่ากำลังของเครื่องยนต์จะมีแรงพอ ที่จะบิดให้มันกลิ้งไปข้างหน้าได้ เพราะการเพิ่มขนาดของเส้นรอบวงล้อแม็กรวมไปถึงยางด้วย เปรียบเสมือนการลดอัตราทดเฟืองท้ายให้ต่ำลง

ตัวแปรอีกตัวหนึ่งที่จะกำหนด ขนาดเส้นผ่านศูยน์ของล้อ นั้นก็คือซีรี่ของยาง ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสูงของแก้มยาง ซึ่งทุกคนคงจะทราบกันดีว่าตัวเลขบอกซีรี่มากๆ แก้มยางจะสูง ตัวเลขน้อยๆ แก้มยางจะบาง

แต่มีใครรู้บ้างครับว่าแก้มยางนั้นสูงเท่าไหร่ ถ้าไม่รู้ก็บอกไม่ได้ว่ารถของคุณสามารถใส่ล้อแม็กได้ใหญ่ที่สุดแค่ไหน เพราะล้อต้องคู่กับยาง ซึ่งความหมายของตัวเลขบอกซีรี่ก็คือ ความสูงของแก้มยางเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของความกว้างของยาง

ยกตัวอย่างให้เห็นกันง่ายๆ สมมุติยางขนาด 195/50 15 หมายความว่าความสูงของยาง เป็น 50% ของ 195 มิลลิเมตร (50/100)x195 ก็คือ 97.5 มิลลิเมตร ทีนี้เมื่อเรารู้ความสูงของแก้มยาง เราก็นำไปบวกกับความโตของล้อ แต่อย่าลืมว่ายางนั้นรัดอยู่รอบล้อจึงต้องนำความสูงคุณด้วยสองก่อน จึงจะนำไปบวกกัน แล้วเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อมักจะบอกเป็นนิ้ว ส่วนยางจะมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ซึ่งต้องปรับให้เป็นหน่วยเดียวกันเสียก่อน โดยเอา 25.4 คูณกับขนาดของล้อก็จะออกมาเป็นมิลลิเมตร หรือเอา 0.093 คูณกับความสูงแก้มยางก็จะออกมาเป็นนิ้ว จากที่ยกตัวอย่างมาเส้นผ่าศูยน์กลางของล้อรวมยางก็จะเป็น (97.5x2) + (15x25.4) เท่ากับ 576 มิลลิเมตร หรือ คูณด้วย 10 ก็จะเป็น 57.6 เซนติเมตร ทีนี้ลองคำนวณกันเอาเองว่า รถของคุณจะมีที่พอใส่ล้อได้ใหญ่เพียงใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น